แม่ทัพภาคที่ 3 สั่งมณฑลทหารบกเชียงใหม่และพะเยา แจ้งความเอาผิดเสื้อแดงในข้อหากบฏ ตามกฎหมายอาญามาตรา 113 และ 114 หลังมีการเคลื่อนไหวชูแบ่งแยกประเทศเป็น สปป.ลานนา พร้อมเรียกประชุมผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ขอความร่วมมือสอดส่องดูแลการกระทำกระทบความมั่นคง จับตา “กลุ่มรักเชียงใหม่ 51” อย่างใกล้ชิด หลัง “เพชรวรรต” ยอมรับพร้อมแยกการปกครองออกมาจริง
วันนี้ (2 มี.ค.) พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงเดินขบวนแห่ธงแดงขาวและชูป้ายผ้า “สปป.ลานนา” ว่า การข่าวดังกล่าวทางกองทัพภาคที่ 3 ได้ดำเนินการตรวจสอบมาโดยตลอด และเมื่อเห็นว่าเข้าข่ายรุนแรงได้สั่งการให้มณฑลจังหวัดทหารบกเชียงใหม่ และมณฑลทหารบกพะเยาไปดำเนินการแจ้งความตามกฎหมายในลักษณะฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่ระบุ ว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต และมาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีหรือสิบห้าปี โดยทางมณทลทหารบกทั้งสองแห่งได้เข้าดำเนินคดีต่อกลุ่ม สปป.ล้านนา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ผ่านมา ได้ใช้อำนาจผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกองทัพภาคที่ 3 เรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัดเข้าประชุม เพื่อขอความร่วมมือในการช่วยสอดส่องดูแล และตรวจสอบการดำเนินการใดๆ อันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพไม่สามารถสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดได้ เพราะไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง เพียงแต่ขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และทางกองทัพภาคที่ 3 ได้จับตาดูพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของกลุ่ม สปป.ล้านนา และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 อย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้านี้ให้กับผู้บัญชาการทหารบก รับทราบ ในการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ซึ่งจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ (3 มี.ค.)
“ยืนยันว่าทหารทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่เคยเลือกข้าง แต่การเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคที่ 3 ของบางกลุ่มที่อาจสร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม สปป.ล้านนา ที่มีการตั้งชื่อคล้ายกับการจัดตั้งรัฐใหม่ ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา และรัฐธรรมนูญ” พล.ท.ปรีชากล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 มี.ค. นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ระบุว่า ประเด็นเรื่องการแบ่งแย่งเป็นประเทศล้านนา หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลานนา (สปป.ล้านนา) ทางกลุ่มมีการพูดคุยหารือมาเป็นเวลากว่า 6 เดือน และโอกาสที่จะแบ่งแยกเป็นไปได้สูง ตามเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1. การดูถูกความเป็นมนุษย์จากคนอีกกลุ่มในประเทศ 2. การไม่เคารพกฎหมายและมีการเหลื่อมล้ำทางกฎหมายเกิดขึ้น และ 3. ไม่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตย หากวันใดมีการปิดประเทศหรือก่อรัฐประหารขึ้นมา พวกตนก็พร้อมจะแยกตัวออกมา ทั้งนี้ การแยกตัวของ สปป.ล้านนา มิใช่การแบ่งแยกประเทศ แต่เป็นการแบ่งแยกการปกครองเหมือนกับจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง 1 ประเทศ 3 ระบอบการปกครอง เชื่อว่าหากแบ่งจริงอย่างน้อยประชาชนร้อยละ 80 ของ 8 จังหวัดภาคเหนือ หรือประชาชน 4 ล้านคนจากประชากร 6 ล้านคนในภาคเหนือ จะออกมาแสดงตัวแม้ว่าจะไม่ใช่คนเสื้อแดง จะมีแนวคิดเดียวกันกับเรา
วันนี้ ( 2 มี....ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึงกรณีพบว่า นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ "โกตี๋" มีการพูดปลุกระดมโดยประกาศออกรายการทางวิทยุ มีเนื้อหาแกมข่มขู่ ว่า จะให้มวลชน ไปจับตัว พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1รอ.) และ พ.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้การกรมทหารราบที่ 11รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) เหมือนเป็นการประกาศใช้ผู้อื่นกระทำผิดคุกคามต่อเสรีภาพผู้อื่น คุกคามเจ้าหน้าที่ด้วยการโฆษณา ซึ่งไม่เหมาะสม เป็นการแสดงออกความก้าวร้าว ทางกองทัพบก จะเร่งตรวจสอบ และพิจารณาดำเนินการให้ถึงที่สุด รวมถึง จะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามความคืบหน้า กรณีอาจเป็นผู้ต้องสงสัยความผิดในคดีอื่นด้วยSee More
ชี้ 'ปู' ทำเฉยเสื้อแดงระดมพล เท่ากับหนุนให้แบ่งแยกประเท ศ !!!!!
คมชัดลึกออนไลน์
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงสถานการณ์การชุมนุมข องกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลับไม่ห้ามปราม ถือว่าเป็นพฤติกรรมยักคิ้วห ลิ่วตา เพราะมวลชนที่ออกมามีแนวโน้ มขัดรัฐธรรมนูญ
...
คือ การประกาศแบ่งแยกประเทศไทย เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 1 อีกทั้งยังมีการจัดตั้งกองก ำลังติดอาวุธอย่างเปิดเผย
โดยกลุ่มที่สนับสนุนแกนนำรั ฐบาล และยังพยายามปลุกปั่นยุยงให ้คนใช้ความรุนแรงต่อกัน ที่สำคัญยังพยายามถึงเลขาธิ การสหประชาชาติ เข้ามาแก้ปัญหาในประเทศไทย เป็นความพยายามชักน้ำเข้าลึ กชักศึกเข้าบ้าน แต่นายกฯ กลับไม่หยุดยั้งพฤติกรรมดัง กล่าว
ทั้งที่ควรดำเนินคดีตามกฎหม าย เพราะจะคิดว่าเรื่องเหล่านี ้เป็นการพูดเล่น หรือเป็นเพียงวาทกรรมไม่ได้ เนื่องจากมีการเผยแพร่ต่อสา ธารณชนแล้ว ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว นายกฯ จึงควรสั่งระงับ และดำเนินการตามกฎหมาย นายกฯ ควรหยุดพฤติกรรมยักคิ้วหลิ่ วตา เพราะจะยิ่งพาประเทศเสียหาย
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เร่งสืบสวนดำเนินคดีและจับก ุมผู้ที่กราดยิงใส่บ้านคุณห ญิงศศิมา ศรีวิกรม์ มารดาของนางทยา ทีปสุวรรณ แกนนำกปปส. และขอให้แถลงความคืบหน้าในค ดีความรุนแรงกับการชุมนุมขอ งกลุ่มกปปส. 40 กว่าคดี
โดยเฉพาะคดีหลักๆ ที่มีหลักฐานเป็นภาพคนร้ายช ัดเจน คือ คดียิงนายสุทิน ธาราทิน แกนนำคปท. คดีโยนระเบิดที่ถนนบรรทัดทอ ง และคดีขว้างระเบิดที่อนุสาว รีย์ชัยสมรภูมิ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ประชาชนข าดความมั่นใจในความปลอดภัยใ นชีวิตและทรัพย์สินSee More
คมชัดลึกออนไลน์
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
...
คือ การประกาศแบ่งแยกประเทศไทย เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา
โดยกลุ่มที่สนับสนุนแกนนำรั
ทั้งที่ควรดำเนินคดีตามกฎหม
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เร่งสืบสวนดำเนินคดีและจับก
โดยเฉพาะคดีหลักๆ ที่มีหลักฐานเป็นภาพคนร้ายช
จับตายิ่งลักษณ์วางเฉยต่อกบฏ
โดย สิริอัญญา
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2557
2-3 วันมานี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงต่ างพากันปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ว่ากลุ่ม นปช. ซึ่งเป็นพรรคพวกของรัฐบาลไม่ได้ แบ่งแยกประเทศ ไม่ได้ตั้งกองกำลังอาวุธในการแบ ่งแยกประเทศ และไม่ได้บ่อนทำลายสถาบันพระมหา กษัตริย์
บรรดาคนที่ออกมาปฏิเสธกันจ้าละห วั่นนั้น ความจริงก็เป็นคน ๆ เดียวกันและกลุ่มเดียวกันกับคนท ี่จัดและขึ้นเวทีการชุมนุมที่โค ราช ซ...ึ่งเป็นการชุมนุมที่เรียกว่าลั่ นกลองรบ
ในที่ชุมนุมนั้นก็มีคนที่เป็นถึ งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้ประกาศบนเวทีชัดเจนว่าเป ็นตัวแทนของพรรคและเป็นตัวแทนขอ งรัฐบาลด้วย เพียงแต่อ้างว่ามีการตัดต่อคลิป ที่ได้พูดในวันนั้น
นั่นก็ว่ากันไป! ว่าใครจะเชื่อใคร เพราะสิ่งที่มีการถ่ายทอดทางโทร ทัศน์ในการชุมนุมใหญ่ลั่นกลองรบ ก็ได้ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ตลอดเวล าทั้งวัน ใครพูดอะไร ใครทำอะไร ก็ประจักษ์ชัดเจนเป็นหลักฐานแน่ นหนาอยู่แล้ว
แต่เมื่อคนที่พูด ที่ร่วมกิจกรรมนั้นพากันออกมาปฏ ิเสธ ก็ต้องฟังว่า ณ วันเวลาที่พูดปฏิเสธนั้นเขาพูดว ่าไม่ได้พูด ไม่ได้ทำ แต่ความจริงจะเป็นอย่างไร สาธุชนทั้งหลายก็ย่อมทราบ ย่อมเข้าใจกันโดยทั่วไป
เรื่องที่จะกล่าวถึงในวันนี้เป็ นเรื่องของคนกลุ่มนี้แหละ แต่ไม่ใช่เรื่องที่พูดปฏิเสธ หากเป็นเรื่องที่ปรากฏจากการถ่า ยทอดทางโทรทัศน์ในวันชุมนุมลั่น กลองรบนั้น ถ้าว่าอย่างนี้ก็คงไม่ขัดหรือแย ้งอะไรกัน
มาดูกันว่าสิ่งที่พูดและทำกันใน วันชุมนุมลั่นกลองรบนั้นเป็นอะไ ร? และเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ?
เขาพูดกันว่าอย่างไร? ใครที่สนใจรายละเอียดก็ย่อมดูได ้จากรายการที่ถ่ายทอดสดกันในวัน นั้น ซึ่งมีการบันทึกเป็นหลักเป็นฐาน ชัดเจน สามารถสรุปได้ดังนี้
ข้อแรก ให้มีการจัดตั้งกองกำลังอาวุธใน หลากหลายรูปแบบ หลายองค์กร เพื่อทำการต่อสู้กับกองทัพไทย
ข้อสอง ไม่ให้ยอมรับ หรือเชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล และองค์กรอิสระทั้งหลาย
ข้อสาม จะมีการแบ่งแยกประเทศไทยเป็นไทย เหนือ-อีสาน และไทยใต้ และให้รัฐบาลรักษาการนี้ไปตั้งร ัฐบาลพลัดถิ่นในภาคเหนือ และมีเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง ในขณะที่แกนนำในภาคอีสานบางคนก็ เสนอให้ไปตั้งเมืองหลวงที่จังหว ัดอุดรธานี
ข้อสี่ จะมีการปิดล้อมหรือต่อสู้กับศาล ยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระอื่น ๆ เพื่อปกป้องรัฐบาลรักษาการให้อย ู่ในอำนาจตลอดไป
ข้อห้า ให้ใช้ความฉลาด สติปัญญา เทคโนโลยี และการผ่อนแรง โดยการจัดให้มีเครื่องบินเล็กบั งคับโดยวิทยุติดระเบิด แล้วให้ระเบิดพร้อมกันทุกพื้นที ่ทั่วประเทศ
เมื่อมีการกล่าวปราศรัยของแกนนำ ต่าง ๆ แล้ว ก็มีคนขึ้นไปพูดในนามของพรรคเพื ่อไทย และในฐานะตัวแทนรัฐบาลว่าจะต้อง ตัดสินใจต่อสู้ขั้นเด็ดขาด และจะรับข้อเสนอทั้งหลายไปปฏิบั ติ
เอาเป็นว่าสรุปกันแค่ห้าประการเ ท่านี้ก็พอแล้ว เพราะถ้ามากกว่านี้ก็คงเขียนไม่ ไหว และคงฟังกันไม่ได้ เพราะมีแต่เรื่องใช้ความรุนแรง มีแต่เรื่องฆ่าฟันคนไทยด้วยกันเ อง ซึ่งเป็นเรื่องน่าสลดใจ
และต้องบอกด้วยว่าการปราศรัยทั้ งหลายที่ว่านั้นไม่ใช่เป็นการพู ดเล่นๆ หรือพูดกันด้วยความเมามายไร้สติ แต่เป็นการจัดคิวพูด เป็นการประกาศฐานะของคนพูดว่าเป ็นพวกเป็นขบวนการเดียวกัน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพ รรคเพื่อไทยและรัฐบาลรักษาการ
เมื่อความที่พูดกันเป็นอย่างนั้ นแล้ว และได้ทำกันให้เห็นแล้ว ไม่ว่าโดยการเดินขบวนสวนสนามของ กองกำลังติดอาวุธ หรือการประกาศตัวต่อสู้ด้วยอาวุ ธเพื่อต่อสู้ทางชนชั้น ก็คงเหลือปัญหาว่าที่พูด ที่ทำกันนั้นเป็นความผิดประการใ ดหรือไม่?
ไม่ต้องยกเนื้อหาของบทกฎหมายมาจ ำแนกแจกแจงองค์ประกอบความผิดให้ ยืดยาว ก็กล่าวได้ว่าการพูด การทำ ดังกล่าวนั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ในข้อหากบฏในราชอาณาจักร ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิตสถานเ ดียวเท่านั้น และเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยที่จะแบ่งแยกประเ ทศไทยไม่ได้โดยเด็ดขาด
พฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวชัด เจน รู้กันโดยทั่วไปทั้งประเทศ มีพยานหลักฐานแน่นหนา คงเหลือแต่ว่าใครจะมีหน้าที่ดำเ นินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ก็ต้องบอกว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอ บดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย คนแรกสุดก็คือผู้บัญชาการสำนักง านตำรวจแห่งชาติ คนที่สองคือผู้บังคับการตำรวจภู ธร และผู้กำกับการตำรวจภูธรในพื้นท ี่ที่เกิดเหตุ สูงขึ้นมาก็คือรัฐมนตรีว่าการกร ะทรวงมหาดไทย ซึ่งไปยืนพูดทนโท่ในที่นั้นด้วย
คนพวกนี้มีหน้าที่ดำเนินการ และยังมีผู้ที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุม สั่งการ ให้ต้องดำเนินการด้วย นั่นคือนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และพลโท ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
แล้วถามว่าถ้าเพิกเฉยไม่ทำอะไร แล้วจะเป็นอย่างไร? ก็ต้องบอกว่าการไม่ทำอะไรนั่นแห ละคือการกระทำผิดตามกฎหมาย อย่างน้อยก็เป็นการละเว้นการปฏิ บัติหน้าที่ อันเป็นความผิดตามมาตรา 157 ของกฎหมายอาญา และอย่างมากก็อาจจะเป็นผู้ร่วมห รือสนับสนุนผู้กระทำความผิดฐานก บฏ ซึ่งมีความผิดอย่างเดียวกันด้วย
และที่สำคัญก็คือ การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการกระ ทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่จะต้องถูกยุบพรรคและถูกเพิกถ อนสิทธิเลือกตั้งด้วย!
โดย สิริอัญญา
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2557
2-3 วันมานี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงต่
บรรดาคนที่ออกมาปฏิเสธกันจ้าละห
ในที่ชุมนุมนั้นก็มีคนที่เป็นถึ
นั่นก็ว่ากันไป! ว่าใครจะเชื่อใคร เพราะสิ่งที่มีการถ่ายทอดทางโทร
แต่เมื่อคนที่พูด ที่ร่วมกิจกรรมนั้นพากันออกมาปฏ
เรื่องที่จะกล่าวถึงในวันนี้เป็
มาดูกันว่าสิ่งที่พูดและทำกันใน
เขาพูดกันว่าอย่างไร? ใครที่สนใจรายละเอียดก็ย่อมดูได
ข้อแรก ให้มีการจัดตั้งกองกำลังอาวุธใน
ข้อสอง ไม่ให้ยอมรับ หรือเชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล และองค์กรอิสระทั้งหลาย
ข้อสาม จะมีการแบ่งแยกประเทศไทยเป็นไทย
ข้อสี่ จะมีการปิดล้อมหรือต่อสู้กับศาล
ข้อห้า ให้ใช้ความฉลาด สติปัญญา เทคโนโลยี และการผ่อนแรง โดยการจัดให้มีเครื่องบินเล็กบั
เมื่อมีการกล่าวปราศรัยของแกนนำ
เอาเป็นว่าสรุปกันแค่ห้าประการเ
และต้องบอกด้วยว่าการปราศรัยทั้
เมื่อความที่พูดกันเป็นอย่างนั้
ไม่ต้องยกเนื้อหาของบทกฎหมายมาจ
พฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวชัด
ก็ต้องบอกว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอ
คนพวกนี้มีหน้าที่ดำเนินการ และยังมีผู้ที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุม สั่งการ ให้ต้องดำเนินการด้วย นั่นคือนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และพลโท ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
แล้วถามว่าถ้าเพิกเฉยไม่ทำอะไร แล้วจะเป็นอย่างไร? ก็ต้องบอกว่าการไม่ทำอะไรนั่นแห
และที่สำคัญก็คือ การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการกระ
สร้างภาพ....ทำร้ายชาติ !!!!!
คมชัดลึกออนไลน์
สร้างภาพ....ทำร้ายชาติ : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 2 มี.ค.2557
...
กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเ มืองกับแนวคิดของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่ างประเทศ ที่จะส่งหนังสือเชิญอย่างเป ็นทางการถึงนายบัน คี มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาต ิ (ยูเอ็น) ให้ช่วยเข้ามาเป็นคนกลางในก ารแก้ไขวิกฤติทางการเมืองขณ ะนี้
หลังจากได้ชิมลางด้วยการโทร ศัพท์หยอดหวานถึงคุณสมบัติค วามเหมาะสมของเลขาธิการสหปร ะชาชาติผู้นี้ ด้วยเหตุที่ว่าคนไทยไม่มีใค รที่เป็นคนกลางได้ หากพร้อมเมื่อไหร่หรือสะดวก ในวันไหนก็ให้บอกมา โดยจะมีการเปิดให้หารือกับต ัวแทนจากฝ่ายต่างๆ อาทิ ผู้นำฝ่ายค้าน องค์กรอิสระ ตัวแทนศาลยุติธรรม และผู้นำเหล่าทัพ ด้วย
ถือเป็นความปรารถนาดีของนาย สุรพงษ์ ซึ่งสวมหมวกอีกใบในฐานะประธ านที่ปรึกษาศูนย์รักษาความส งบ (ศรส.) ที่ต้องการสร้างความสงบให้บ ้านเมือง ท่ามกลางบรรยากาศของการท้าท ายของผู้นำทั้ง 2 ขั้วในข้อเรียกร้องให้มีการ เจรจาด้วยเงื่อนไขที่ต่างฝ่ ายต่างรับกันไม่ได้
ไม่เพียงแค่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะปฏิเสธเจรจาตัวต่อตัวพร้อ มถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ จากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เท่านั้น นายกรัฐมนตรี ยังหยิบยกการทำหน้าที่รักษา ประชาธิปไตยอย่างไม่ลดละ พร้อมทั้งแสดงความเห็นด้วยห ากจะมีคนกลางมาร่วมเจรจาไกล ่เกลี่ยเพื่อหาทางออกให้แก่ ประเทศในครั้งนี้
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่หน่วย งานระดับโลกแห่งนี้จะเข้ามา ยุ่มย่ามหรือทำอะไรเกินอำนา จหน้าที่ตัวเอง กฎบัตรสหประชาชาติมีหลักการ สำคัญเรื่องการไม่แทรกแซงกิ จการภายในประเทศของประเทศอื ่น ยกเว้นในกรณีที่เกิดเหตุการ ณ์ที่กระทบต่อสันติภาพ มีการรุกราน หรือมีการละเมิดสิทธิมนุษยช นอย่างร้ายแรง กว้างขวาง
เราต้องมีความชัดเจนว่าจะให ้นายบัน คี มุน เข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัด แย้งในประเทศไทยในเรื่องอะไ ร เพราะการจะให้สหประชาชาติเข ้ามาแทรกแซงจะต้องได้รับควา มยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่าย ที่ผ่านมามีบทเรียนมาแล้วกั บการพยายามสร้างภาพของรัฐบา ลตั้งแต่การเชิญนายโทนี แบลร์ อดีตนายกฯ อังกฤษ โคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อมาสร้างความปรองดองในช าติไทย
สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ มีความห่างไกลและแตกต่างจาก บริบทที่สหประชาชาติเคยเข้า ไปมีบทบาท เป็นเรื่องของการขับไล่รัฐบ าลที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่ามีค วามผิดพลาดในการบริหารประเท ศ ทนไม่ได้กับผลประโยชน์ทับซ้ อน รวมถึงละเว้นและปล่อยปละละเ ลยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่ นกันอย่างมโหฬาร
ที่สำคัญสหประชาชาติเองได้แ สดงความห่วงใยต่อกรณีการใช้ อาวุธสงครามถล่มผู้ชุมนุมโด ยเฉพาะเด็ก คนแก่ และผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน ่ได้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นเหตุ การณ์ที่เกิดกับผู้ชุมนุมแท บทั้งสิ้น เห็นได้ว่าเหล่านี้เป็นเรื่ องการเมืองภายในล้วนๆ
รัฐบาลไม่ควรสร้างภาพติดลบเ พื่อทำลายภาพลักษณ์ของประเท ศในสายตาประชาคมโลก ทำให้ประชาคมระหว่างประเทศม องว่ารัฐไทยอยู่ในภาวะล้มเห ลว อาจส่งผลกระทบด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการเมืองและส ังคมอย่างกว้างขวาง ดังนั้นการเมืองไทยควรแก้ด้ วยคนไทย ทุกปัญหามีทางออก หากทุกฝ่ายลดทิฐิและจริงใจท ี่จะแก้ปัญหา
หน้าแตกยับ "อ้ายปึ้ง นกตะกรุมหัวเหน่ง"
คมชัดลึกออนไลน์
สร้างภาพ....ทำร้ายชาติ : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 2 มี.ค.2557
...
กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเ
หลังจากได้ชิมลางด้วยการโทร
ถือเป็นความปรารถนาดีของนาย
ไม่เพียงแค่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะปฏิเสธเจรจาตัวต่อตัวพร้อ
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่หน่วย
เราต้องมีความชัดเจนว่าจะให
สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้
ที่สำคัญสหประชาชาติเองได้แ
รัฐบาลไม่ควรสร้างภาพติดลบเ
หน้าแตกยับ "อ้ายปึ้ง นกตะกรุมหัวเหน่ง"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น