Kings of Thailand

อย่าแหย่รังแตน




แดงเตรียมแห่ศพ ตู่,เต้น..!!!
เมื่อกระแสแดงทั้งแผ่นดินปลุกไม่ขึ้น ท่านแม้ว ดูไบ จึงยอมให้พวกซ้ายจัดขึ้นมาคุมเกมส์ แผนการสร้างมิคสัญญีกลียุคก็เริ่มขึ้น
พวกซ้ายจัด"มโน"ถึง
"การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789"
"การปฏิวัติรัสเซีย 1917 ของบอลเชวิก"...
"การปฏิวัติจีน 1911 ของ ดร.ซุน"
"การปฏิวัติจีน 1949 ของเหมา"
ทุกครั้ง ล้วนแต่ต้องใช้ความรุนแรงเป็นเชื้อไฟในการปฏิวัติทั้งสิ้น
-กองกำลัง 800 กว่าคนของโป๊ะ
-กองกำลัง 300 กว่าคนของดำน้องชายของญาติดองท่านแม้ว ดูไบ
-กองกำลัง 50 กว่าคน ลูกน้องเก่าของเสธ.แดง
ทุกกลุ่มถูกเรียกเข้าประจำฐานในพื้นที่รอบๆกรุงเทพฯ เตรียมปฏิบัติการสร้างสถานการณ์มิคสัญญีกลียุค ตามวันเวลาที่นัดหมาย ภารกิจนี้เพื่อผลักดันให้เกิดการลุกขึ้นสู้ครั้งสุดท้าย เหตุกระแสแดงจุดไม่ติด พวกซ้ายจัดสรุปว่า"กระแสแดงยังไม่ขึ้นสู่กระแสสูง" โดยแบ่งเป็น 3 ภารกิจ
1.ปลุกเสื้อแดงให้ลุกขึ้นสู้กับฝ่ายตรงข้าม โดย
1.1 ยกระดับการทำร้ายและก่อวินาศกรรมต่อแกนนำแดง นักวิชาการแดง แล้วให้สื่อในเครือข่ายสร้างกระแสแล้วโยนความผิดให้อำมาตย์ว่าสั่งทหารและ กปปส.ทำร้ายคนเสื้อแดง
1.2 เพิ่มความเข้มข้นในการทำร้าย ทำลาย ก่อวินาศกรรมต่อ คณะกรรมการ ปปช.และแกนนำของ กปปส. ทั้งเป้าหมายตัวบุคคลและสถานที่
2.สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับฝ่ายศัตรูของระบอบทักษิณ โดยให้ทีมชายชุดดำลงมือทำร้ายผู้จัดรายการคนสำคัญของ ASTV คาดการณ์ว่าเป้าหมายน่าจะเป็นลูกชายของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อโยนความผิดว่าฝ่ายทหาร หรือ กปปส.เป็นคนทำ ตามยุทธวิธีแบ่งแยกมวลชนฝ่ายศัตรู
3.ข่มขู่ให้กองทัพ และบุคคลระดับสูงกลัว แล้วยอมเจรจากับท่านแม้ว ดูไบ โดย
3.1 ก่อวินาศกรรมในภาคเหนือ พื้นที่เป้าหมาย เชียงใหม่ และ พิษณุโลก เพื่อ"ตบหน้า"แม่ทัพภาคที่ 3 น้องชายของพลเอกประยุทธ์
3.2 เตรียมทำคาร์บอม(เหมือนกรณีซอยแจ้งวัฒนะ 13)ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน เป้าหมายเพื่อส่งสัญญานไปยังสากลว่า เหนือและอีสาน คือพื้นที่"ปลดปล่อย" โดยให้แดงอิสระในจังหวัดต่างๆเป็นคนทำ
ส่วนการเคลื่อนขบวนของแดง นปช.ให้การ์ดของแรมโบ้และ ส.รับรอง ทำหน้าที่คุ้มกันม็อบ
สายลับยืนยันว่าที่ประชุมของพวกซ้ายจัดเห็นชอบว่า เมื่อถึงวันเวลานัดหมาย อารมณ์ของมวลชนพร้อม ให้ลงมือเด็ดชีพแกนนำแดง โดยวิธีการ"เป่าสมอง"เหมือนที่ทำกับเสธ.แดง ที่ต้องทำเพราะจำเป็นต้องทำ..!!! แล้วโยนความผิดให้อำมาตย์ว่าสั่งทหารฆ่าแกนนำแดง เพื่อสร้างความโกรธแค้นให้มวลชนเสื้อแดง
สุดท้ายจึงอยากจะฝากไปถึงแกนนำแดงทั้งหลายว่า อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบทำเสีย อาหารอะไรที่อร่อย ที่ชอบ ก็ให้รีบกินเสีย ไม่ต้องรอให้เขาทำบุญไปให้ และผมขออโหสิกรรมในเรื่องที่แล้วๆมาด้วย
ไทกร พลสุวรรณ
See More




26 มี.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ “ชัย ราชวัตร” การ์ตูนนิสต์การเมืองชื่อดังของประเทศไทย ที่รู้จักกันดีในคอลัมน์ “ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน” มี ผู้ใหญ่มา และ ไอ้จ่อย เป็นตัวละครการ์ตูนประจำ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเพจที่ชื่อ “Chai Rachawat” แสดงความรู้สึกต่อกรณีคลิปกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ที่เรียกตัวเองว่า “กวป.” ทั้งผู้หญิงผู้ชายรุมทำร้ายพระภิกษุสงฆ์ที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช.เ...มื่อวันจันทร์ที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า บ้านเมืองไร้ขื่อแป เหตุอยู่ในรัฐที่ยึดหลัก "นิติสัตว์"

“ชัย ราชวัตร” โพสต์ข้อความสั้นๆ เพียงว่า พุทธศาสนิกชนที่เห็นคนใจสัตว์รุมทำร้ายพระสงฆ์คงรู้สึกปวดร้าวแสนสาหัส คงต้องปวดร้าวแสนสาหัสต่อไป เพราะจะเอากฎหมายไปจัดการกับส่ำสัตว์ฝูงนี้ไม่ได้ต้องดูที่เจตนาของส่ำสัตว์ก่อนนะครับ อย่าลืมว่าเราอยู่ในรัฐที่ปกครองด้วยหลักนิติสัตว์







By Michael Yon
Bangkok with Red Shirts vs PDRC and allies
กรุงเทพฯที่มีเสื้อแดง เปรียบเทียบกับ ที่มี กปปส.และพันธมิตรของกปปส.

ผมถ่ายภาพแรกเมื่อปี 53 ตอนที่เสื้อแดงเผาตึก 37 แห่งและสังหารผู้คนจำนวนมากจนกระทั่งกองทัพเข้ามาปราบปรามพวกเค้า

ผมถ่ายภาพที่สองวันนี้ จากตำแหน่งเดียวกัน พิจารณาดู: กปปส., คปท.,สันติอโศก และ ท่านพุทธอิสระไม่ได้ยิงกรุงเทพฯหรือพยายามที่จะเผากรุงเทพฯให้วอดวาย

I made the first image in 2010 when the Red Shirts burned 37 buildings and killed many people until the Army finally put them down.

I made the second image today from the same location. Check it out: PDRC, KPT, Santi Asoke, and Buddha Issara are not shooting up Bangkok or trying to burn it down.






อ้างรองผู้ว่าฯ อำนาจเจริญคนใหม่ โพสต์ซ้ำในไลน์หัวหน้าส่วนราชการ ข้อความอัด “แม้ว-เสื้อแดง” ไม่สำนึกอยู่ในประเทศไทย ชี้ไม่มีใครในบ้านเมืองนี้โหดร้าย แต่ตัวเองโหดร้ายกับบ้านเมือง วอนอย่าโหดร้ายนักเลย

วันนี้ (26 มี.ค.) มีการเผยแพร่ข้อความ ที่ระบุว่าเป็นข้อความในแอปพลิเคชันไลน์สำหรับหัวหน้าส่วนราชการ ใน จ.อำนาจเจริญ ของรองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญคนใหม่ ที่ได้โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 23 ...มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนำเอาข้อเขียนของผู้ที่ใช้ชื่อว่า Paul McIntosh มาโพตส์ซ้ำมีข้อความพาดหัวว่า “ถึงคุณทักษิณ .. ที่ผมเคยเคารพรัก” ขณะที่เนื้อหาเป็นการต่อว่าคนเสื้อแดง และอดีตนายกรัฐมนตรี ในเรื่องความจงรักภักดี

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญคนใหม่ คือ นายบุญยืน คำหงส์ ที่เพิ่งได้รับคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายรองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นคำสั่งมหาดไทยที่ 684/2556 จำนวน 28 ราย โดยมีชื่อนายบุญยืน ย้ายจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร มาเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ โดย นายบุญยืน เข้ามาดำรงตำแหน่งเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา

ขณะที่ไลน์สำหรับหัวหน้าส่วนราชการ ในหลายจังหวัด หรือหลายส่วนราชการ นิยมใช้เพื่อความสะดวกในการพูดคุยเรื่องานภายในจังหวัด ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดอำเภอ หรือนายอำเภอ ในสังกัดกรมการปกครอง ซึ่งในกระทรวงมหาดไทย นิยมใช้อย่างมาก

โดยข้อความ ที่ผู้ที่ใช้ชื่อว่า Paul McIntosh โพสต์ไว้ดังกล่าว ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ และในแฟนเพจฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหลายแห่ง สำหรับข้อความดังกล่าว มีใจความว่า ดังนี้

“Paul McIntosh (คนเคยรักทักษิณและเลิกรักแล้ว)

ถึงคุณทักษิณ .. ที่ผมเคยเคารพรัก

ผมได้เฝ้าดูการปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงของคุณ และบริวารมาตลอดหลายปี คุณเลือดเย็นมากที่กล่าวโจมตีอำมาตย์ และทำให้มวลชนของคุณพุ่งเป้าเข้าใจไปว่า อำมาตย์อายุ 80 กว่าๆ ของคุณนั้นก็คือในหลวง ... ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่คุณกล่าวทุกวันนี้ก็ยังว่อนอยู่ในยูทิวบ์ ฉะนั้น อย่าบอกว่าไม่ได้พูด มันทุเรศ...

ส่วนการที่คุณได้รับการสมรสพระราชทานนั้น ก็เพราะคุณทำเรื่องขอพระราชทาน และได้รับพระกรุณาธิคุณ ... ไม่ว่าจะเป็นการไปเปิดสถานีดาวเทียม การตั้งชื่อพระราชทานแก่ดาวเทียมของคุณ ก็เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ต่อมาคุณยังกล้าที่จะใช้บริษัทนั้น หากินโดยทุจริต และยังกล้าขายดาวเทียมที่พระองค์พระราชทานชื่อให้แก่ต่างชาติอีกด้วย... คุณชั่วช้ามาก

ส่วนเรื่องเครื่องราชต่างๆ ที่คุณและเมียได้รับนั้น คุณคงลืมไป ว่าพระองค์มิได้พระราชทานให้เอง แต่เป็นเพราะทุกคนที่ได้รับ ต่างทำเรื่องขึ้นไปขอพระราชทานทั้งสิ้น...

ได้โปรดอย่ากล่าวอ้างว่าคุณถวายงานรับใช้ เพราะคุณทำในฐานะนายกรัฐมนตรี ใครมานั่งตำแหน่งนี้ก็ต้องทำ... อย่าได้มาพูดในเชิงเอาบุญคุณเช่นนี้

อย่ามากล่าวหาผม และคนไทยหลายสิบล้านคน ที่เชื่อว่าคุณต้องการล้มล้างสถาบันและยึดประเทศ รวมถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ว่าเชื่อในสิ่งนี้เพราะคุณถูกใส่ร้าย

ถ้าจะมีใครใส่ร้าย ก็คงจะมีแต่คุณเอง เพราะผมตัดสินความเชื่อนี้จากคลิปคำพูดของคุณ จากพฤติกรรมจาบจ้วงของบริวารของคุณ รวมถึงการปกป้องไม่ดำเนินคดีกับผู้จาบจ้วงที่อยู่ในปีกของพวกคุณ

ไม่มีใครในบ้านเมืองนี้โหดร้ายกับคุณ ตรงกันข้ามเป็นคุณเองที่โหดร้ายกับบ้านเมืองนี้สารพัด

คุณอยู่ต่างประเทศมาแล้วเจ็ดปีโดยที่ไม่เห็นมีใครห้ามไม่ให้คุณกลับมา... แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ขอภาวนาให้คุณได้อยู่ที่นั่น ตลอดอายุขัยของคุณ เพราะคนอย่างคุณนั้น แม้เก็บอัฐิอังคารของคุณมาโปรยในทะเลอ่าวไทย ก็ยังหนักเกินไปสำหรับประเทศนี้

คุณขอความกรุณาว่า

อย่าโหดร้ายกับคุณนักเลย

ผมต่างหาก ที่อยากจะขอความกรุณาจากคุณว่า

อย่าโหดร้ายกับประเทศไทยนักเลย

ด้วยความขมขื่น กับสิ่งที่คุณทำกับประเทศไทย และสถาบันฯ

23/3/57”

สำหรับ นายบุญยืน นั้น จบการศึกษา บัญชีบัณฑิต (บช.บ.) วิทยาลัยการค้า ปี 2520 นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปี 2547 ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปี 2542 เข้ารับราชการ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2521 ในตำแหน่ง เสมียนตราอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ก่อนไต่เต้าในหลายๆ ตำแหน่ง เช่น ปลัดอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา เสมียนตราจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน จังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้างานงบประมาณ กองคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน จังหวัดนครปฐม หัวหน้าฝ่ายงบประมาณ และหัวหน้าฝ่ายการเงิน กองคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าสำนักงานจังหวัดพิจิตร, ปทุมธานี, มหาสารคาม, นครราชสีมา และมุกดาหาร ก่อนจะมีตำแหน่งสูงสุดเป็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2555 และย้ายมาเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญในปัจจุบัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มีนาคม 2557 18:12 น
See More









หลังจากเห็นภาพและคลิปของเหล่าบรรดา แดงสถุนทั้งตัวผู้ตัวเมีย ที่เข้ากลุ้มรุมไล่เตะ.ไล่กระทืบ พระสงฆ์องค์เจ้า แบบที่ฝรั่งเห็นยังตาค้าง “โอ้มายก๊อด” สับสนว่าตนอยู่ในประเทศไหน พร้อม ๆ กับสายตาคนไทยในละแวกนั้นอีกนับหลายสิบคู่ ที่ดูแล้วรู้สึดหดหู่อย่างไม่เคยพบเห็นว่าจะเกิดในแผ่นดินธรรมที่นายกดอกไม้แดง

เธอคนนี้เคยหาญกล้าที่ประกาศจะสังคายนาพระไตรปิกฎของพระพุทธองค์!!! และจะทำให้เมืองไทยเป็น ศูนย์กลางพุทธ...ศาสนาโลก เมื่อครั้งหาเสียงไว้ที่เชียงใหม่

ก็ไม่รู้ว่า กระบวนการไล่กระทืบพระกลางถนนแบบนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการเตรียมสังคายนาอย่างที่เธอประกาศไว้จริง ๆ หรือไม่

พระรูปนี้ โชคดีที่มีตำรวจนอกเครื่องแบบ..ที่ค่อย ๆ เข้าไปช่วยห้ามและกันออกตัวออกมา(อย่างเสียไม่ได้) ซึ่งหาไม่แล้วป่านนี้หลวงพี่รูปนั้นจะมีสภาพสะบักสะบอมหรือต้องถึงขนาด มรณานุสติกองอยู่กลางถนนหรืออย่างไรคงไม่ต้องคาดเดากัน

เราเคยเห็นพระเณร..ท่านนอนจมกองเลือด เพราะถูกโจรใจบาปฆ่าทิ้งเสียหลายรูปที่สามจังหวัดใต้ ..ภาพเหล่านั้นหดหู่จนคนไทยพุทธ ไม่เว้นแม้คนต่างศาสนิกอย่างมุสลิมในพื้นที่และทั่วประเทศร่วมกันสาปแช่งคนกระทำว่ายังมีความเป็นผู้เป็นคนอยู่อีกหรือที่กระทำต่อนักบวชได้ลงคอ ..

แต่ พ.ศ. นี้ ต้องบอกว่า คนไทยบางกลุ่มได้ถูกล้างสมองและยัดใส่ชุดความคิดเลว ๆ ไว้ด้วยระบอบทักษิณ ได้ก้าวมาไกลเกินจะมีสติแยกแยะดีชั่วได้ด้วยตัวเองแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะต้องเห็นภาพอย่างที่เห็นนี้อีกไม่น้อยจากนี้

จั่วเรื่องนี้ด้วยอาการปลงสังเวช..และเริ่มเข้าใจในสภาวะธรรมที่ว่า สรรพสังขาราอนิจจาจริง ๆ ....เพราะขนาดยังไม่ทันเที่ยงก็อาจเดี้ยงได้ทุกคนไม่เว้นพระเถรเณรชี

ข้ามมาเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องกล่าวคือ...วันนี้มีรายงานข่าวจากการประชุม ครม. สรุปว่าที่ประชุมมีมติคืนตำแหน่งให้คุณถวิล เปลี่ยนศรีเป็นที่เรียบร้อย โดยหลังจากนี้ก็จะมีการนำเรื่องแจ้งไปยัง กกต.เพื่อทำการตรวจสอบ ก่อนจะมีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป โดยพลโท.ภราดร นั้นก็ถูกโยกไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำแทน

ซึ่งอย่างช้าเมษายนนี้คุณถวิลก็คงได้มีโอกาสได้เข้ามาทำหน้าที่อย่างเต็มที่และด้วยความเป็นมืออาชีพโดยยึดเอาความมั่นคงของรัฐมิใช่รัฐบาลเถื่อนเป็นตัวตั้งและการบริหารแบบประสานกันกับหลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงของทหารนั้นคงดำเนินไปด้วยความเข้มข้นและสอดคล้องกับตัวบทกฎหมายโดยไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าเหลี่ยมอีกต่อไป..

จะว่าไป เดือนเมษายนนี้ก็น่าจะเป็นเดือนที่ต้องบอกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ ว่าประเทศชาติจะสามารถฝันฝ่าวังวนแห่งความมืดดำที่เข้าครอบคลุมเมืองไทยมานานนับสิบปีได้หรือไม่

ที่บอกว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนก็เพราะหลากหลายปัจจัยที่กำลังส่อแววว่า น่าจะถึงจุดแตกหัก(กันเสียที) หลังจากที่ เหล่า นปช.ลั่นกลองรบเพื่อนายแล้ว เที่ยวนี้ก็มีการเปลี่ยนหัวขบวนใหม่ ..โดยเปลี่ยนจาก สัตว์ปีกอย่าง “นกแสก” ลงมาใช้บริการพวกครึ่งบกครึ่งน้ำอย่าง “คางคก” นั่นหมายถึงกระบวนแนวรบครั้งใหม่นี้
นายใหญ่เลิกอาศัยบทบุ๋นเชื่องช้าและแบมือรับตังค์อย่างเดียวอย่างที่เธออาศัยทำกินตลอด ไมว่าจะเป็น การสร้างมวลชนแบบสไตล์คอมมิวนิสต์ อาทิ โรงเรียนแดง นั้นสุดท้ายก็พังพาบเหลือแต่คนแก่นั่งเฝ้าโรงเรียนไม่กี่คน

เที่ยวนี้ขาใหญ่ดูไบ..คงเห็นแล้วว่า ขืนปล่อยให้เธอเก็บกินไปเรื่อย..แต่รัฐบาลยิ่งเข้าตาจนเข้าทุกที เพราะทั้งสารพันองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ก็ปล่อยอาวุธแบบถูกกฎหมายประเคนเข้าใส่ ท่านนายกดอกไม้ จนซวนเซ จะไปไม่ไปแหล่ แถมกลุ่มก๊วนแดงกลับมีแต่แผ่วลงอย่างน่าใจหาย

การเปลี่ยนหัวขบวนแดง..จึงหมายมั่นจะปั้นสารพันข้อหาและสร้างปีศาจสงครามตัวโตให้เกิดขึ้นในเมืองไทย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำให้ประเทศไทย กลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ให้ได้

เมื่อพูดถึง “รัฐที่ล้มเหลว” หรือฝรั่งเรียก “Failed State” นั้น ถ้าฟังเผิน ๆ คนไทยอาจฟังแล้วขำเพลินว่า “เฮ้ย..นี่ไทยแลนด์นะเฟ้ย ไม่ใช่โซมาเลีย”

แน่ละ..หลายคนอาจเชื่อว่าไม่มีทางเป็นไปได้..ซึ่งก็น่าจะเห็นตามนั้นหากประเทศไทยมีรัฐบาลที่มีความรักและหวงแหนชาติมากกว่าทรัพย์สมบัติตัวเอง..และทำหน้าที่ทุกอย่างไปตามครรลองที่มันควรจะเป็นภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเสมอภาค

แต่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญที่ว่าหากแม้นตัวรัฐบาลนี่ละที่กำลังวางแผนที่จะนำพาประเทศตัวเองให้กลายรัฐที่ล้มเหลวด้วยตัวเองล่ะ..มันมีความเป็นไปได้เพียงใด?? ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้น เหตุผลอย่างหลังนี่ฟังแล้วอาจขำไม่ออก....และแทบไม่อยากนึกภาพ

เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบความเป็นรัฐที่ล้มเหลวภายใต้สากลนิยมนั้น นิยามกว้าง ๆ ของรัฐล้มเหลว มีนักวิชาการอรรถาว่า หมายถึง “ รัฐที่ไม่สามารถบริหารการปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถดำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยภายใน มีความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย รัฐบาลและกลไกรัฐขาดความมั่นคงและประสิทธิภาพ จนไม่สามารถบริหารประเทศและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้”

อ่านแล้วพอนึกภาพเห็นมั้ยว่า..เราพอจะมีเค้าลางบ้างหรือไม่ และถ้ายังไม่ชัด เค้าก็ให้พิจารณาดัชนีที่พอจะชี้วัดได้ว่าใกล้เคียงหรือไม่เอาแค่ดัชนีทางการเมืองหลัก ๆ อาทิ

- การปกครองของรัฐที่ไร้ความเป็นธรรม
- ความเสื่อมถอยของการให้บริการสาธารณะ
- การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่แพร่หลาย
- การใช้เครื่องมือที่ใช้รักษาความมั่นคง ที่เรียกว่า ‘State within a state’: เป็นลักษณะการปรากฏตัวของกลุ่มอำนาจสูงสุดของรัฐ โดยอาศัยการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่คุกคามฝ่ายตรงข้าม หรือพลเรือนที่มีความเห็นไม่ตรงกับรัฐ หรือมีความเห็นที่สนับสนุนกลุ่มตรงข้ามรัฐ เปรียบกับการสร้าง “กลุ่มกองกำลังภายในกองกำลังเดียวกัน” เพื่อรับใช้แสวงหาผลประโยชน์ให้กับกองทัพหรือกลุ่มการเมือง ซึ่งในที่สุดจะก่อให้เกิดกลุ่มต่อต้านทั้งในรูปของทหารพลเรือน กองโจร กองกำลังเอกชนติดอาวุธ หรือการใช้ปฏิบัติการต่างๆ ที่ทำให้ความรุนแรงแผ่ขยายออกไป เพื่อต่อต้านกับกองกำลังของรัฐ
-การก่อตัวของกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิด,การแทรกแซงกิจการภายในจากรัฐอื่น หรือปัจจัยภายนอก

ข้างต้นเป็นเพียงดัชนีทางการเมือง ซึ่งไม่นับด้านเศรษฐกิจที่กำลังเละเทะ..ด้านสังคมที่มีการคอร์รับชั่นชั่นทุจริตกันอย่างรุนแรงทุกภาคส่วน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นดัชนีสากลที่จะถือว่าประเทศนั้นกำลังเข้าสู่สภาวะของ รัฐที่ล้มเหลว

กระบวนการสร้างกองกำลังซ้อนกองกำลังของรัฐ จากกรณีของตำรวจแดงแฝงตัวในตำรวจหลัก โดยตำรวจหลักกลับแสดงบทเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่อครั้งคุณสุทินถูกยิงเสียชีวิตที่วัดศรีเอี่ยม และอีกหลายครั้ง จนล่าสุดอย่างกรณีที่พระถูกไล่กระทืบซึ่งในกลุ่มม๊อบนั้นก็มีตำรวจยืนดูอยู่ใกล้ๆ และบางคนออกอาการยิ้มเยาะอย่างสะใจ ฯลฯ เหล่านี้คือสัญญานที่กำลังจะบ่งว่า ..เราอาจไปถึงจุดนั้นในไม่ช้า

การประกาศสร้างกองกำลังเอกชนติดอาวุธมาสู้กับรัฐบาลของเหล่า นปช.ลั่นกลองรบ, การไม่สนใจกระบวนการยุติธรรมหรือคำตัดสินของศาลหรือองค์กรตามกฎหมายใด ของกลุ่มก๊วนรัฐบาลรวมทั้งตัวนางดอกไม้เอง หรืออย่างล่าสุดที่จนวันนี้ จดหมายที่ส่งไปเชิญนายบันคีมุนให้เข้ามาจุ้นในกิจการภายในของประเทศตัวเองของ นายปึ้ง ซึ่งมีหลายคนเรียกร้องให้เปิดเผยเนื้อหาในจดหมายที่สร้างความเสื่อมเกียรติภูมิของชาติออกมาให้สาธารณะรับรู้ ฯลฯ

เรื่องเหล่านี้มิใช่เป็นเหตุบังเอิญ แต่เป็นกระบวนการที่มีการเตรียมการไว้อย่างแยบยลและน่ากังวลยิ่ง
ยุทธศาสตร์ โลกล้อมประเทศ..แบ่งงานกันทำเป็นทีม ส่วนหนึ่งมุ่งทำลายความมั่นคงทางจิตใจและศรัทธา โดยการมุ่งโจมตีสถาบันสูงสุดอย่างไม่ลดละ ส่วนหนึ่งใช้เงินสกปรกจ้างฝรั่งหัวขาวหัวดำออกข่าวสร้างภาพทำลายประเทศตัวเอง โดยมีไส้ศึกในในกระทรวงต่างประเทศไทยเป็นหัวโจกประสานงาน

และเมื่อทุกอย่างลงตัว..การประกาศศึก ด้วยการเอาใช้คนเสื้อแดงผู้น่าสงสารกลับมาเป็นเหยื่ออีกครั้งแบบที่เคยทำ และทำให้ “ความตาย” ของคนเสื้อแดง กลายเป็นชนวนและเป็นประเด็นนำไปสู่การลุกฮือขึ้นเผาและทำลายให้ประเทศกลายเป็นจุลทุกหนแห่ง เพื่อให้เป็น “รัฐที่ล่มสลาย” ครบองค์ประกอบที่จะให้ ต่างชาติเข้ามาบริหารจัดการประเทศไทย นี่คือ แผนสุดท้ายในชีวิตของขาใหญ่ดูไบที่มิอาจมีหนทางอื่นที่จะสามารถทำให้ตัวเองกลับมามีที่ยืนอยู่ในฐานะเดิมได้


ทว่าเรื่องเหล่านี้..ใช่ว่าฝ่ายกองทัพจะไม่รู้เล่ห์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่การดำรงคงไว้ของเหล่าบังเกอร์ดอกไม้สวย ๆ ของทหารไทยยังคงถูกตรึงไว้ไม่ยอมถอนออกให้เสียเหลี่ยม เพราะทหารรู้ดีว่า..จากนี้ไป งานใหญ่กำลังจะมาในไม่ช้า

เพราะหลังจากที่แสดงอาการไม่กล้าขยับของเหล่า ผบ.ทัพ โดยเฉพาะผบ.ประยุทธ์ ที่กำลังตกที่นั่งเครียดหนัก เพราะจากอายุราชการที่เหลืออีกไม่กี่เดือนกับความพยายามประคับประคองสถานการณ์เพื่อมิให้ต้องกลายเป็น “เป้าหมาย” จากทุกฝ่ายที่จะให้ออกมาแสดงทีท่าชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์บ้านเมือง

แม้นจะยากที่จะต้องกลืนน้ำลายออกมาบอกว่า “เป็นกลาง” และ “อยู่ฝ่ายประเทศชาติ” ซ้ำ ๆ ซากๆ ก็คาดเดาได้ว่าในที่สุดจากนี้เมื่อสถานการณ์งวดเข้ามาและประกาศหน้าประกาศตาของ “ฝ่ายดี” และ “ฝ่ายชั่ว” กันชัดมากขึ้นก็หวังว่าจะได้เห็น “ทหาร” จะได้เปิดหน้าชกและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างชัดเจนแบบที่ องค์กรอิสระไม่ว่าจะเป็น ปปช, หรือศาลรัฐธรรมนูญท่านได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างชัดเจนและสมบูรณ์เป็นแบบอย่างแล้วเสียที

และเพื่อตอกย้ำให้ทหารทุกนายได้เข้าใจว่า “หน้าที่” ของตนนั้นมีขอบเขตเพียงใด และใครคือ “ผู้บังคับบัญชา” ที่แท้จริง จึงต้องบอกกล่าวสำทับกันให้เข้าใจว่า

“ทหาร” มีหน้าที่ต้องกระทำภาระกิจให้กับ “รัฐ” ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ พร้อม ๆ กับเป็น “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ของฝ่ายการเมืองที่ปฎิบัติตามกฏหมายภายใต้่กฎหมายลูกอื่น ๆ ที่บัญญัติไว้รองลงมา

ดังนั้นภารกิจสำคัญอันดับแรกที่แม้นจะมีหรือไร้รัฐบาล ทว่าทหารยังต้องกระทำก็คือ การปฎิบัติหน้าที่ตามมาตรา 77 แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์เอกราชอธิปไตยและบูรณาภาพแห่งเขตอํานาจรัฐและต้องจัดให้มีกําลังทหารอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจําเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยความมั่นคงของรัฐสถาบันพระมหากษัตริย์ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”

อ่านแล้วก็ชัดว่า หน้าที่ของทหารที่ขึ้นตรงกับกฎหมายมีสองอย่างคือ “พิทักษ์รักษา” และ “พัฒนาประเทศ”

พิทักษ์รักษาที่ว่าก็แยกเป็นสี่ประการคือ สถาบันพระมหากษัตริย์, เอกราชอธิปไตย,ความมั่นคงและบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ,ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ส่วนนี้คงชัดเจนแบบไม่ต้องสาธยายว่า นิยามคำว่า ผลประโยชน์แห่งชาติ,ความมั่นคงแห่งรัฐ หมายถึงอะไร เพราะความหมายเหล่านี้ ทาง สมช. ภายใต้การดูแลของมืออาชีพอย่างคุณถวิล คงทำความเห็นมายังกองทัพได้แบบไม่ต้องถามหรือโยนไปมาว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของใคร,ตำรวจหรือไม่? ให้คนไทยต้องหงุดหงิดอารมณ์อีกต่อไป

เมื่อเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ... ก็ทำอย่างเต็มกำลัง และทำในลักษณะฝ่าย “รุก” มิใช่ “รับ” อย่างที่เป็นอยู่
การทำหน้าที่ในเชิงป้องปราม..หรือ "ตบปาก!" พวกขยะไร้ราคากันซะบ้าง...ย่อมง่ายกว่าปล่อยให้ พวกขยะมันมากจนกลายเป็นเชื้อโรคแพร่กระจายจนยากจะตามไปแก้ไข

กรณีสามจังหวัดใต้...คงเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การไล่ตามแก้ปัญหาจากคนปากพล่อยและมีอคติในการบริหารชาติและไม่เข้าใจในความเป็นชาติพันธุ์นั้น ได้สร้างตราบาปและความสูญเสียทิ้งไว้ให้แผ่นดินเพียงใด

กรณีความวุ่นวายในเมืองหลวงที่มีสารพันอาวุธสงครามประเคนใส่กันอย่างโจ่งครึ่มวันนี้ ..ถ้าทหารไม่เปิดยุทธการปรามเชิงรุกและปล่อยให้เกิดอาการหนักข้อมากขึ้นจนลุกลาม... จะเยียวยายาก...และ ผบ.เหล่าท่าน ท่านอาจต้องเสียใจเมื่อมีทั้งอำนาจ..มีความจัดเจนแล้ว แต่กลับไม่ทำ..หรือตอนที่ควรจะทำอย่างเต็มที่กลับทำอย่างเสียไม่ได้

กรณี ข้อความใต้ฐานอนุสาวรีย์ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ที่สกลนครนั้น ป๋าเปรม..ท่านมิได้ส่งสัญญานอะไรที่เป็นเรื่องเลวร้ายเลย และที่สำคัญท่านไม่ได้เป็นนัยให้กองทัพทำอะไรที่มันเกินเลยอย่างที่พวกเสื้อแดงกำลังกล่าวหาอย่างที่เป็นอยู่

กลับกัน ท่านเพียงแต่ชี้และย้ำให้ทหารได้พินิจในทุกถ้อยคำนั้นว่า งดงามนัก..และน่าสนใจตรงประโยคที่ว่า “ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง...” นั้นมิใช่เรื่องล้อเล่น

เพราะทหารทุกนายทราบดีว่า ชีวิตของทหารนั้นแตกต่างจากปถุชน กล่าวคือ “เป็นอาชีพที่ขายชีวิต” แต่ไม่ยอมขายเกียรติและจิตวิญญาน

ดังนั้น..การจะให้ทหารวางอาวุธและเดินมุดลอดหว่างขาคนเสื้อแดงแล้วจะยอมไว้ชีวิตเมื่อครั้งที่เสื้อแดงบุกยึดไทยคมนั้น ทหารไทยกลุ่มสุดท้าย 20 นายที่ประกาศก้องว่า ถ้าให้ต้องทำเช่นนั้นให้กูตายเสียดีกว่าจะยอมวางอาวุธ ตัวอย่างของเกียรติภูมิของทหารในเรื่องนี้ ....ใครอยากรู้ว่าจริงหรือไม่? คงต้องถามผู้การแดง แห่ง พล.1 รอ. ที่นั่งคุมกำลังรบในเมืองกรุงวันนี้ดูนะไอ้ตู่ (แดง)

หรือหากยังคลางแคลง....แล้วยังหาญจะท้าทาย ก็อย่าได้หมายว่าชื่อเดียวกันแล้วจะปล่อยให้รอดลอยนวลพื้นคอมแบทของ "ท่านตู่(เขียว)" ไปได้นะ จะบอกให้!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Pong 11 (20x24)

Pong 11 (20x24)
Original handpainted oil painting on canvas

Wanna Yookong 111 (97x197cm)

Wanna Yookong 111 (97x197cm)
Original handpainted oil painting, Realistic Style

Kitja Noree 102 (24x36)

Kitja Noree 102 (24x36)
Original handpainted oil painting, Impressionist Style, Floating Market

Thawan Pramarn

Thawan Pramarn
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY TAWAN PRAMAN, SIZE 70 x 90 cm

Chalor Ditpinyo

Chalor Ditpinyo
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY CHALOR DITPINYO, SIZE 90 x 120 cm.

Thongchai Arunsaengsilp

Thongchai Arunsaengsilp
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY THONGCHAI ARUNSAENGSILP

Boonchai Methangkul

Boonchai Methangkul
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY BOONCHAI METHANGKUL, SIZE 1 x 126 cm

Chavana Boonchoo

Chavana Boonchoo
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY CHAVANA BOONCHOO, SIZE 18 x 24"

Patamares Livisit

Patamares Livisit
ORIGINAL HANDPAINTED IMPRESSIONIST OIL PAINTING BY PATAMARES LIVISIT, SIZE 24 x 36"

Bangkok Art Center by HAS